หน้าแรก/บทความ/Nature Positive Tourism เที่ยวธรรมชาติ สร้างผลกระทบเชิงบวก/

Nature Positive Tourism เที่ยวธรรมชาติ สร้างผลกระทบเชิงบวก

07 กุมภาพันธ์ 2568
แชร์บทความนี้

     ที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่ามนุษย์เราสร้างผลกระทบในแง่ลบให้แก่ธรรมชาติมาตลอด และในที่สุดเราก็ได้เดินทางมาถึงยุคที่โลกเริ่มส่งสัญญาณให้เหล่ามนุษย์หันกลับมาดูผลของการกระทำของตนเอง ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็เห็นทีจะเป็นอุณหภูมิที่ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบร้อนอย่างไทยก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากอากาศช่วงฤดูร้อนที่ร้อนจัด และดูเหมือนว่าจะร้อนขึ้นทุกปี เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น?

ปัจจุบันมนุษย์โลกกำลังเผชิญกับ The Triple Planetery Crisis หรือ ‘มหาวิกฤต 3 ประการ’ ได้แก่ 

  1. การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ เกิดภูมิอากาศสุดขั้ว เช่น อากาศร้อนจัด หนาวจัด ฝนตกรุนแรงจนเกิดน้ำท่วม และภัยแล้ง เป็นต้น
  2. มลพิษทางสิ่งแวดล้อม คือ สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นทางน้ำ อากาศ ดิน ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ และปล่อยลงสู่ธรรมชาติ ส่งผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิต และทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม
  3. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ล้มตายและสูญเสียถิ่นที่อยู่ อันเป็นผลพวงมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

     จะเห็นได้ว่าวิกฤตการณ์ทั้ง 3 ประการที่โลกกำลังเผชิญนั้นเกี่ยวโยงกันอย่างมีนัยยะสำคัญ เป็นเหมือนกับวังวนอันไม่มีที่สิ้นสุด อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างมลพิษมากเป็นอันดับต้น ๆ ดังนั้นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงควรตระหนักถึงปัญหาโลกรวนนี้ และเริ่มลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลง ก่อนทุกอย่างจะสายเกินแก้

     เพื่อร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ TAT Academy จะพาไปทำความรู้จักกับแนวคิด ‘Nature Positive’ 

Nature Positive คืออะไร 

     Nature Positive หรือ ‘ธรรมชาติเชิงบวก’ เป็นกรอบแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ หมายถึงการหยุดทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และหันมาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งกว่าเดิม ซึ่งแนวคิด Nature Positive มองว่าธรรมชาตินั้นเชื่อมโยงกัน ส่งผลกระทบต่อกันเป็นทอด ๆ และเชื่อว่าความหลากหลายทางชีวภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของการแก้ไขวิกฤตโลกรวน

     แนวคิด Nature Positive เริ่มพัฒนาขึ้นในปี 2019 จนกระทั่งในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 15 (COP15) แนวคิดดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับ และถูกกำหนดเป็นเป้าหมายระดับโลก มุ่งหยุดยั้งและฟื้นฟูการสูญเสียธรรมชาติภายในปี 2030 (Nature Positive 2030) และบรรลุเป้าการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ ภายในปี 2050 โดยกำหนดเป้าหมายเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ไม่มีการสูญเสียทางธรรมชาติเพิ่มเติม (Zero Net Loss) ธรรมชาติบวกเป็นสุทธิ (Net Positive) และฟื้นฟูธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ (Full Recovery) ซึ่งแน่นอนว่าการจะทำให้สำเร็จนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว

     เพราะการท่องเที่ยวและธรรมชาติต้องพึ่งพากันและกัน ในฐานะผู้ประกอบการเอง จะทำธุรกิจท่องเที่ยวอย่างไรเพื่อลดผลกระทบในแง่ลบได้มากที่สุด และจะร่วมด้วยช่วยกันกอบกู้ธรรมชาติให้คงอยู่ได้นานอย่างไร ร่วมสำรวจวิธีการสร้างผลกระทบในแง่บวกให้กับธรรมชาติ ผ่านแนวคิด ‘Nature Positive’ ไปพร้อมกัน ผู้ประกอบการจะสามารถนำเอาแนวคิด Nature Positive ไปปรับใช้ได้อย่างไรบ้าง เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ  

แนวคิด Nature Positive ทั้ง 4 ด้าน

1. Nature-Positive Entrepreneur

     หากจะเริ่มต้นนำเอาแนวคิด Nature Positive มาใช้ ก็ไม่ต้องมองที่ไหนไกล แต่เริ่มได้ที่ตัวของผู้ประกอบการเอง อาจเริ่มจากการปรับทัศนคติในการทำธุรกิจ โดยเอาสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจในการทำธุรกิจ มีความมุ่งมั่นและแน่วแน่ว่าจะสร้างธุรกิจทางการท่องเที่ยวที่จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่นอกจากจะไม่ทำลายแล้ว ก็ต้องช่วยเสริมสร้างซ่อมแซมส่วนที่เสียหายด้วยเช่นกัน และจะต้องคิดอย่างมีแบบแผน มีแนวทางในใช้แนวคิด Nature Positive อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด เช่น การเอาใจใส่ทุกขั้นตอนในการทำธุรกิจ คัดสรรพาร์ทเนอร์ ผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ ทุกห่วงโซ่ จะต้องมีแนวทางที่คล้ายคลึงกัน คือตระหนักเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการทำธุรกิจที่จะไม่ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับธรรมชาติ 

     หลังจากที่ปฏิบัติตามแนวทางของ Nature Positive แล้ว อีกหนึ่งแก่นของ Nature Positive คือการที่แนวทางจะต้อง ‘ชัดเจน’ และ ‘วัดผล’ ได้ ผู้ประกอบการควรประเมินผลที่ได้รับด้วย เพื่อที่จะนำเอาจุดบกพร่องต่าง ๆ ไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไป

2. Nature-Positive Urban 

     เมื่อกล่าวถึงแนวคิด Nature Positive เราอาจนึกถึงสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ หรืออยู่ใกล้กับธรรมชาติและป่าเขา ทว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่เพื่อแหล่งท่องเที่ยวหรือที่พักที่อยู่ใกล้เคียงธรรมชาติเท่านั้น แต่ธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองก็ควรหันมาสนใจถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและร่วมแก้ปัญหาไปพร้อมกัน

     ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมืองใหญ่นี้เองที่เป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังปล่อยมลพิษต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นควันรถ ฝุ่น PM 2.5 และขยะต่าง ๆ ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในเมืองก็ควรตระหนักถึงปัญหาทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากธุรกิจของตน พร้อมทั้งเฟ้นหาหนทางในการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น เพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดระบบนิเวศอันสมบูรณ์ เปลี่ยนเมืองที่มีแต่ตึกสีเทาให้กลับมามีสีเขียวชวนสบายตาอีกครั้ง หรืออาจมีนโยบายสำหรับแก้ไขปัญหาทางสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาขยะ ลดการบริโภคเกินความจำเป็น (Overconsumption) สร้างระบบน้ำที่ยั่งยืน และสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

3. Nature-Positve Financing

     ทุกการทำธุรกรรมทางการเงินนั้นก็สร้างร่องรอยคาร์บอนอยู่ไม่น้อย องค์กรหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคการเงินเองจึงต้องคิดค้นวิธีการที่จะมาช่วยลดปริมาณคาร์บอนในการทำธุรกรรม ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเองก็สามารถนำเอาหลักการนี้ไปปรับใช้กับการทำธุรกิจท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน

     ในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค Net Zero หนึ่งในแนวทางการจัดการ Nature Positive ในทางการเงินคือการเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ในมุมของการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการอาจช่วยสร้างการเงินสีเขียวด้วยการทำระบบ Carbon Limit Card ซึ่งจะมอบเครดิตเงินคืนให้แก่นักท่องเที่ยวที่ออกท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก เช่น การส่งคืนขวดน้ำใช้แล้วให้กับทางที่พักหรือแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะมาเป็นตัวกลางในการนำขวดน้ำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป เพื่อแลกกับเครดิตเงินคืน หรือส่วนลดในการใช้บริการครั้งต่อ ๆ ไป เป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่นักท่องเที่ยว

4. Nature-Positive Local

     แนวคิด Nature Positive มีข้อควรระวังอยู่บางประการ ในการจะฟื้นฟูธรรมชาตินั้นไม่ควรจะมุ่งเน้นไปที่ธรรมชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางด้วย มิเช่นนั้น แทนที่จะส่งผลดี ก็กลับกลายเป็นว่าสร้างผลเสียหลายประการ

     ข้อควรระวังเกี่ยวกับแนวคิด Nature Positive ได้แก่ การผลักภาระให้กับกลุ่มเปราะบาง เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ในธรรมชาติ ก็อาจต้องระมัดระวังว่าจะเป็นการทำลายถิ่นที่อยู่หรือแหล่งทำกินของกลุ่มชนพื้นเมืองหรือไม่ ควรคำนึงถึงวิถีชีวิตของพวกเขา มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการทำลายแหล่งรายได้ของชุมชน หนำซ้ำยังเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น จึงควรมีมาตรการจัดการที่รัดกุม

     ข้อควรระวังอีกประการหนึ่งคือการละเลยการมีส่วนร่วมของชุมชน เพราะในการ ‘สร้างธรรมชาติเชิงบวก’ ควรให้ชุมชนในพื้นที่นั้น ๆ ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ไม่ละทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในฐานะผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญแก่สวัสดิภาพของกลุ่มเปราะบางหรือชุมชนท้องถิ่นไปควบคู่กับการกอบกู้ธรรมชาติ เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่ทั้งธรรมชาติและมวลมนุษยชาติ

     โดยสรุป ปัจจุบัน แนวคิด Nature Positive หรือ ‘ธรรมชาติเชิงบวก’ เป็นแนวคิดสำคัญที่กำลังมาแรงและจะน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเมืองที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจที่สมดุล โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อให้โลกของเราเดินหน้าไปพร้อมกับธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน 

ที่มา:

แชร์บทความนี้



บทความอื่นที่คุณอาจสนใจ

Sponge City Tourism การท่องเที่ยวบนพื้นที่ที่ถูกออกแบบเพื่อรับมือกับอุทกภัย
Sponge City Tourism การท่องเที่ยวบนพื้นที่ที่ถูกออกแบบเพื่อรับมือกับอุทกภัย
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี Wildlife Sandbox พื้นที่ท่องเที่ยวที่เปิดโอกาสให้ทุกชีวิตได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี Wildlife Sandbox พื้นที่ท่องเที่ยวที่เปิดโอกาสให้ทุกชีวิตได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
Creatourism เมื่อ ‘Creator’ ผสาน ‘Social Commerce’ ยกระดับการท่องเที่ยว
Creatourism เมื่อ ‘Creator’ ผสาน ‘Social Commerce’ ยกระดับการท่องเที่ยว

ระบบเรียนออนไลน์

สมาชิก TAT ACADEMY สามารถเข้าถึงข้อมูลการท่องเที่ยวของประเทศไทย เช่น การสัมมนา การท่องเที่ยว กิจกรรม และข่าวสาร สำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย